Social Update

แพทย์เตือน 8 ลักษณะพ่อแม่ที่ทำให้ลูกมีโอกาสเป็น เด็กติดเกม

จากสถานการณ์ เด็กติดเกม พบว่า ปัจจัยที่มีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กมีโอกาสติดเกม คือ การเลี้ยงดูของครอบครัว ซึ่ง “พ่อแม่” มีบทบาทหน้าที่หลักในการอบรมสั่งสอน

จากสถานการณ์ เด็กติดเกม พบว่า ปัจจัยที่มีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กมีโอกาสติดเกม คือ การเลี้ยงดูของครอบครัว ซึ่ง “พ่อแม่” มีบทบาทหน้าที่หลักในการอบรมสั่งสอน แม้ว่าการให้เด็กได้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี และมีความรับผิดชอบ จะเป็นเป้าหมายของการดูแลลูก แต่สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างสมบูรณ์ก็คือ การเป็นพ่อแม่ที่ปฏิบัติอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกได้  ซึ่งจากการสัมภาษณ์ รศ.นพ. ชาญวิทย์ พรนภดล หัวหน้าสาขาวิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ให้ข้อสังเกต 8 พ่อแม่กลุ่มเสี่ยง ที่ลูกมีโอกาสติดเกม โดยมีลักษณะดังนี้

1.   พ่อแม่Busy

พ่อแม่ Busy คือ พ่อแม่ที่ “คิดหรืออ้างว่าตัวเองยุ่ง”  มีภารกิจเป็นของตัวเอง  ไม่อยากให้ลูกมากวน พันแข้งพันขา งอแง หรืออยู่ใกล้ตนเอง  โดยจะใช้อุปกรณ์ ITทีวีเกม  สมาร์ทโฟน  IPadเสมือนพี่เลี้ยงเด็ก ตนเองจะได้มีเวลาส่วนตัวมากยิ่งขึ้น

2.   พ่อแม่ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

พ่อแม่ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  มักจะเข้าใจว่าเด็กยุคนี้จำเป็นที่จะต้องเท่าทันเทคโนโลยี เพราะทำให้ทันสมัย ฉลาด เรียนรู้ไว ช่วยเพิ่มศักยภาพด้านไอทีให้กับลูก จากที่กล่าวมาถูกเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ปฏิเสธว่าการที่มีทักษะด้านไอทีนั้นเป็นสิ่งจำเป็น  แต่สิ่งที่พ่อแม่ขาดความรู้ต่อเนื่อง คือ  ถ้าพ่อแม่ไม่ดูแล หรือปล่อยลูกให้ใช้เวลากับเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ยังเล็กๆ (ประมาณ 6 เดือน – 3 ขวบ) จะส่งผลร้ายกับเด็ก ทำให้พัฒนาการด้านอื่นๆ จะช้าลง เช่น พูดช้า กล้ามเนื้อมัดใหญ่-มัดเล็กเติบโตช้า และทักษะทางสังคมก็จะสูญเสียไปหากเป็นเด็กที่เข้าสู่วัยเรียน ปัญหาที่พบคือ เด็กจะไม่แบ่งเวลาให้กับสิ่งอื่น เช่น การเล่น การเรียน การเข้าสังคม

3.   พ่อแม่ที่กลัวอารมณ์ลูก

พ่อแม่ที่กลัวอารมณ์ลูก คือ พ่อแม่ที่ไม่กล้าปฏิเสธลูกหากลูกอาละวาดแผดเสียง หงุดหงิด หรือตะโกน  เมื่อถูกยึดเกม โทรศัพท์ หรือปิดคอมพิวเตอร์ พ่อแม่ก็จะตกใจลนลาน และทำอะไรไม่ถูกพ่อแม่ประเภทนี้จะไม่สามารถจัดการอารมณ์โกรธของลูกได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรกระทั่งพ่อแม่กลายเป็นลูกไก่ในกำมือของลูก

4.   พ่อแม่ชอบใจอ่อน

พ่อแม่ชอบใจอ่อน มักจะไม่ชอบความขัดแย้ง ไม่กล้าปฏิเสธ ไม่อยากทำให้ผิดหวังไม่อยากทำให้ลูกเสียใจกลัวลูกโกรธพ่อแม่กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นพ่อแม่ที่ทำงานเยอะ ทำให้ตนเองเกิดความรู้สึกผิดที่ไม่ค่อยให้เวลากับลูก ดังนั้นเวลาลูกขออะไรก็จะให้เพื่อเป็นการชดเชยทดแทน

5.   พ่อแม่ที่ละเลยความสำคัญของวินัย

พ่อแม่ที่ละเลยความสำคัญของวินัยอาจเพราะตนเองไม่มีวินัย ไม่มีเวลาที่จะถ่ายทอดวินัยหรือไม่รู้จะถ่ายทอดอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงเลี้ยงลูกแบบไร้วินัย ไม่มีการตั้งกฏกติกาภายในบ้าน ไม่ฝึกความรับผิดชอบ ไม่นั่งคุยกันในครอบครัวเพื่อวางกฏเกณฑ์เด็กจึงทำตามใจตนเองและขาดความรับผิดชอบ

6.   พ่อแม่ที่ขัดแย้งกันเอง

พ่อแม่ที่ขัดแย้งกันเองคือ พ่อแม่ที่จัดการลูกคนละแนวทางซึ่งลูกจะเชื่อคนที่ให้ประโยชน์แก่ตัวเอง เช่น หากคนใดคนหนึ่งใจอ่อน อะลุ่มอล่วย ลูกก็จะทำตามกฏคนนั้น

7.   พ่อแม่ที่ละเลยกิจกรรมในครอบครัว

พ่อแม่ที่ละเลยกิจกรรมในครอบครัว  คือ พ่อแม่ที่ไม่รู้จะหากิจกรรมอะไรที่ทำร่วมกับลูก ไม่ให้ความสำคัญในการทำกิจกรรมที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวมักพบในครอบครัวเดี่ยว  จึงไม่ค่อยมีต้นทุนทางสังคม ในแง่ของกลุ่มเพื่อน หรือมีลูกในวัยเดียวกัน ซึ่งกิจกรรมที่พ่อแม่ประเภทนี้พอจะนึกออก เช่น ส่งลูกเรียนพิเศษ เดินเที่ยวห้าง กินข้าวนอกบ้าน เป็นต้น แต่ไม่ขวนขวายที่จะหากิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งหากพ่อแม่มีกลุ่มเพื่อนหรือมีลูกในวัยเดียวกันก็ไม่ยากที่จะหากิจกรรมทำระหว่างเด็กๆ เช่น กิจกรรมเดินป่า ส่องนก ถ่ายรูป ปลูกต้นไม้ ทำครัว อ่านหนังสือ ขี่จักรยาน หรือเล่นเกมหมากกระดานกับลูกในบ้าน เป็นต้น

8.   พ่อแม่ที่เอาแต่บ่น

พ่อแม่ที่เอาแต่บ่น คือ การบ่นที่มักตามมาด้วยคำตำหนิ การประชดประชัน แต่ไม่แก้ไขหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูก เพียงแค่บ่นและเดินหนีไป โดยพฤติกรรมก็จะทวนซ้ำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พ่อแม่ประเภทนี้จะพูดแต่ข้อเสียของเกม มักไม่ถามถึงอารมณ์ความรู้สึกละเลยความเป็นอยู่ของลูก เอาแต่เพ่งเล็งเฉพาะเรื่องการเรียน การอ่านหนังสือและการทำการบ้าน จะใช้คำพูดเชิงจับผิด และเสียดสีอาทิ “เดี๋ยวจะเปิดให้เล่นทั้งวันทั้งคืน” “เกรดเทอมนี้จะถึงหนึ่งไหม” เป็นต้น ซึ่งใช้คำพูดที่ไม่สร้างสรรค์ เมื่อเด็กฟังก็จะรู้สึกต่อต้าน ไม่อยากทำตาม เร้าอารมณ์ทำให้โกรธ ทำให้รู้สึกไม่ดีทั้งต่อตัวเองและคนพูด

นอกจาก8 ข้อต้องห้ามข้างต้นแล้ว ยังมีอีก 2 สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ การสื่อสาร และสร้าง Self-Esteem

  • การสื่อสารพ่อแม่ควรมีทักษะการสื่อสารกับลูกที่ดี ในเกียรติลูก ฟังลูก พยายามดึงลูกมามีส่วนร่วมในการสร้างวินัยและสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว
  • การสร้าง Self-Esteemพ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับเรื่อง “ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง”เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า มีความสามารถอย่างเช่น เมื่อพ่อแม่พาลูกทำกิจกรรม ลูกก็จะค้นพบว่าตนเองทำอะไรได้ดี และยิ่งถ้าประสบความสำเร็จด้วย ก็จะเกิดความภาคภูมิใจและมั่นใจ ซึ่งพ่อแม่ควรให้คำชม เปิดโอกาสและสร้างเวทีให้ลูกได้แสดงออก จะทำให้เด็กกลุ่มนี้ห่างไกลจากการติดเกม อีกทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็กและครอบครัวอีกด้วย
23 Comments

23 Comments

You must be logged in to post a comment Login

Leave a Reply

To Top

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณและสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • GA

    Google Analytic

Save