• Facebook
• Twitter
• Line

เรือธงแรกของ OPPO ในปีนี้ลงสู่สนามแล้ว ประเดิมด้วย OPPO Find X2 5G Series  ซึ่งประกอบไปด้วย 2 รุ่นอย่าง Find X2 Pro 5G และ Find X2 5G ทั้งสองรุ่นมีขนาดเท่ากันทั้งตัวเครื่อง และหน้าจอ จะต่างกันก็เพียงกล้อง และหน่วยความจำเท่านั้น  สำหรับคราวนี้ทีมงาน What Phone ก็ได้รุ่น Find X2 5G มาทดสอบ จะมีอะไรน่าสนใจบ้างเรามาดูกันเลย

แกะกล่องลองเล่น OPPO Find X2 5G

สำหรับเครื่องที่เราได้มาทดสอบมาพร้อมกล่อง และอุปกรณ์มาตรฐานแบบเดียวกับเครื่องที่จำหน่ายในไทย หน้ากล่องก็ถูกออกแบบมาให้มีลวดลายดูพิเศษต่างจากรุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะตัวอักษรที่ปั๊มลงบนกล่องพร้อมสีทองที่ดูหรูหราไฮโซสมกับเป็นสมาร์ทโฟนเรือธง และเมื่อเปิดกล่องออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

• OPPO Find X2 5G สี Ocean
• ชุดหูฟังแบบ Ear Buds พอร์ต USB-C
• อแดปเตอร์  SuperVOOC 2.0 กำลังไฟ 65 วัตต์
• สายชาร์จแบตเตอรี่แบบ USB-C
• เคสใสแบบซิลิโคน
• คู่มือการใช้งาน
• เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด 

เครื่องที่เราได้มาทดสอบเป็นสี Ocean หรือสีน้ำเงิน ซึ่งเมื่อสะท้อนกับแสงจะเห็นทั้งสีน้ำเงิน สีฟ้า สีเขียว ตามมุมตกกระทบของแสงดูสวยงามมาก และหากมองใกล้ๆ ก็จะเห็นลวดลายที่แฝงไว้ภายใต้กระจก สำหรับอุปกรณ์ในกล่องก็มีชุดหูฟังเป็นแบบ Ear Buds ไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อใช้งานเหมือนกับหูฟังแบบ In Ear สามารถกดรับสายพร้อมสทนาได้เลย และยังใช้เป็นปุ่มควบคุมการเล่นเพลงอย่างเช่นกดหยุด กดเล่น กดข้ามเพลงได้ด้วย แต่ไม่มีปุ่มปรับระดับเสียงมาให้ ส่วนพอร์ตของหูฟังเป็นแบบ USB-C ไม่มีอุปกรณ์แปลงเป็นพอร์ตแบบ 3.5 มม. มาให้ 

สำหรับอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่อย่างอแดปเตอร์ SuperVOOC Flash Charge 2.0 ที่สามารถจ่ายไฟให้ได้ถึง 65 วัตต์ก็มีขนาดที่ดูใหญ่และหนักกว่าอแดปเตอร์ชาร์จไฟรุ่นอื่นๆ เล็กน้อย รวมไปถึงสายที่ค่อนข้างหนาด้วยเช่นกัน แต่อุปกรณ์ทั้งสองก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วมากๆ ซึ่งเราจะกล่าวในหัวข้อถัดไป

หน้าจอของ OPPO Find X2 5G มีขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว โดยใช้จอภาพแบบ OLED ความละเอียด 3168 x 1440 พิกเซล ขอบจอแสดงผลแบบโค้ง ที่สามารถแสดงผลได้ถึง 10 Bit หรือแสดงผลได้ถึง 1 พันล้านสี มีกล้องหน้าแบบเจาะรูที่มุมบนซ้าย แต่ก็มีขนาดค่อนข้างเล็ก แทบจะไม่รบกวนการแสดงผล ที่ขอบบนตรงกลางมีลำโพงสำหรับสนทนาโทรศัพท์พร้อมทั้งเซ็นเซอร์ต่างๆ ส่วนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ตรงกลางส่วนล่างของหน้าจอ นอกจากนี้ตัวเครื่องยังติดฟิล์มกันรอยมาให้เรียบร้อย แกะกล่องออกมาสามารถใช้งานได้เลยไม่ต้องกลัวหน้าจอเป็นรอย

ด้านหลังตัวเครื่องมีเป็นสี Ocean เมื่อสะท้อนแสงก็จะเห็นเป็นสีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำเงิน สีฟ้า สีเขียว มีลวดลายแฝงไว้ใต้กระจกที่จะมองเห็นก็ต่อเมื่อสะท้อนกับแสง ด้านหลังถูกออกแบบมาเป็นแนวนอน ทั้งโลโก้ OPPO และกล้องดิจิตอล ซึ่งตัวเลนส์ทั้ง 3 อยู่ในกรอบที่นูนออกมาเล็กน้อย แต่หากใส่เคสแล้วก็ไม่ต้องห่วงเมื่อวางบนพื้นโต๊ะ เพราะตัวเคสจะช่วยป้องกันรอยได้เป็นอย่างดี

ปุ่มปรับระดับเสียงของรุ่นนี้จะอยู่ที่ด้านข้างซ้าย และปุ่มเปิดปิดเครื่องอยู่ที่ด้านข้างขวา ซึ่งปุ่มนี้จะมีแถบเส้นสีเขียวติดกำกับอยู่

ด้านบนของตัวเครื่องมีเพียงไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด ตัวถาดเป็นแบบ Dual SIM ไม่สามารถเพิ่มการ์ดหน่วยความจำภายนอกได้ ถัดมาเป็นไมโครโฟนรับเสียงสนทนา พอร์ต USB-C และช่องลำโพงของตัวเครื่อง

ที่สุดแห่งความสมจริงจอภาพ 1 พันล้านสี แสดงผล 120 Hz Ultra Vision Screen

จอแสดงผลของรุ่นนี้ถือว่านำเอาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดหลายๆ อย่างรวมเข้ามาไว้ในเครื่องนี้ อย่างแรกคือจอภาพ 10 บิท ที่แสดงผลได้ถึง 1 พันล้านสีรุ่นแรก ต่างจากรุ่นอื่นๆ ที่แสดงผล 8 บิท 16.7 ล้านสีเท่านั้น ทำให้การแสดงสีสันสมจริง จึงทำให้การไล่เฉดสีได้ละเอียดมากๆ ต่อมาคือ Refresh rate หรือการแสดงผล 1 ภาพใน 1 วินาที โดยปกติแล้วสมาร์ทโฟนส่วนมากจะทำได้ที่ 60 Hz แต่สำหรับรุ่นนี้ทำได้ถึง 120 Hz เวลาเลื่อนเปลี่ยนหน้าไปยังเมนูต่างๆ ทำได้สมูทมากยิ่งขึ้นจนสังเกตได้ ต่อมาคือ Touch Sampling rate หรือระบบการสัมผัสที่มีความไวถึง 240 Hz ทำให้การสั่งงาน หรือแตะหน้าจอขณะเล่นเกมทำได้รวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น สำหรับการแสดงผลยังมีอัตราส่วน Contrast สูงถึง 5,000,000 : 1 และให้ความสว่างสูงถึง 800 nits ส่วนความละเอียดหน้าจอก็มีความละเอียดถึง 3168 x 1440 พิกเซล หรือ 3K QHD+ ที่แต่ละพิกเซลมีความละเอียดและเล็กมากๆ ผสานการแสดงผล 1 พันล้านสี จึงทำให้แสดงภาพได้สมจริงทั้งสีสัน ความละเอียด และการแสดงภาพเคลื่อนไหวที่สมูทถึง 120 Hz พร้อมรองรับวิดีโอ HDR 10+ นอกจากนี้ยังมี Ultra Vision Engine ที่สามารถปรับการแสดงผลวิดีโอเป็น 60/120 Hz และ HDR Video Enhancement ให้ช่วงไดนามิกสูง พร้อมทั้งแสดงผลได้สมูทยิ่งขึ้นอีกด้วย

Ultra Vision Camera เทคโนโลยีการถ่ายภาพที่ทรงประสิทธิภาพ

ในด้านการถ่ายภาพของรุ่นนี้อาจจะเป็นรองแค่รุ่น Pro เท่านั้น แต่เทคโนโลยีกล้องทั้ง 3 เลนส์ก็มีมาให้ใช้งานอย่างทรงประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ Wide ซึ่งเป็นเลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ภาพ Sony IMX586 ขนาดใหญ่ 1/2 นิ้ว f/1.7 ประกอบไปด้วย 6 ชิ้นเลนส์ ส่วนเลนส์ที่ 2 เป็นเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 120 องศา พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นเลนส์ Macro ที่สามารถถ่ายได้ใกล้สุด 3 ซม. ใช้เซ็นเซอร์ภาพ Sony IMX708, f/2.2 และเลนส์สุดท้ายเป็นเลนส์ Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/2.4 สามารถซูมภาพได้ 5 เท่าแบบ Hybrid และดิจิตอลซูม 20 เท่า

สำหรับโหมดการถ่ายภาพในที่มืดก็จะมี Ultra Night Mode 3.0 ที่อาศัยเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ และระบบ Multi frame noise reduction ที่สามารถลด Noise ได้จากการรวมภาพหลายๆ ภาพเข้าด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้เก็บแสงได้มากแล้ว ยังสามารถลด Noise ได้อีกด้วย ในโหมดการถ่ายภาพ Portrait ก็มีให้เลือกปรับ Bokeh หรือปรับฉากหลังละลายได้ตามต้องการ และยังมีโหมด AI ปรับความเนียนใสของใบหน้าได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง

สำหรับการถ่ายภาพในโหมดหลักก็จะมีให้เลือกใช้เลนส์ Ultra wide มุมกว้าง 120 องศา ทำให้ได้ภาพมุมกว้างที่เหมาะกับการถ่ายวิวทิวทัศน์ และการถ่ายภาพในที่แคบที่ไม่ต้องถอยหลังไปไกลๆ สำหรับเลนส์ Ultra Wide ยังสามารถถ่ายภาพ Macro  หรือการถ่ายภาพในระยะใกล้ได้ถึง 3 ซม. เพียงแค่ถ่ายในระยะใกล้ๆ กล้องจะปรับโหมด Macro ให้อัตโนมัติโดยไม่ต้องเปลี่ยนโหมดการถ่ายภาพ นอกจากนี้ยังมีโหมด Expert ที่สามารถปรับแต่งการถ่ายภาพได้เหมือนกับกล้อง DSLR ไม่ว่าจะเป็นการปรับค่า ISO, Speed shutter, White balance, ปรับระยะโฟกัส และสามารถลด หรือเพิ่มชดเชยแสงได้

กล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ที่ซ่อนอยู่มุมบนขวาของจอภาพก็ให้ภาพที่คมชัด มาพร้อมระบบ AI Beautification ที่ช่วยปรับหน้าให้เนียนใส ซึ่งเป็นระบบที่ขึ้นชื่อมาตั้งแต่สมาร์ทโฟน OPPO รุ่นก่อนๆ สามารถเลือกปรับความเนียนของใลหน้า, ปรับใบหน้าให้ดูเรียว, ปรับความใหญ่ของตา, ปรับจมูก, ปรับคาง, ปรับใบหน้าให้เล็กลง และปรับมิติของหน้าได้ 

การถ่ายวิดีโอของรุ่นนี้ก็สามารถปรับความละเอียดของภาพได้ถึง 4K 60 เฟรมต่อวินาที พร้อมไมโครโฟนรับเสียงถึง 3 ตัวซึ่งจะช่วยทั้งในการบันทึกเสียงซ้ายขวา และช่วยในการตัดเสียงรบกวน นอกจากนี้แล้วยังมีให้เลือกปรับบันทึกเสียงแบบ 3D ที่จะบันทึกเสียงโดยรอบ 360 องศา หรือจะเลือกบันทึกแบบ Sound focus ซึ่งจะช่วยเพิ่มเสียงขณะซูมภาพให้ด้วย นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยลดการสั่นไหวของวิดีโอด้วย Ultra Steady และยังมีโหมด Ultra Steady Pro ซึ่งถือเป็นขั้นสุดของระบบช่วยลดการสั่นไหวของวิดีโอด้วย

แรงสุด CPU Qualcomm Snapdragon 865 Flagship CPU พร้มอรองรับ 5G Dual mode

ที่สุดของความแรงของหน่วยประมวลผลบนสมาร์ทโฟนกับ Qualcomm Snapdragon 865 หน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดที่แรงที่สุดในปีนี้ มาพร้อม RAM 12 GB ซึ่งเป็นชิพรุ่นใหม่ LDPDR5 และหน่วยความจำ 256 GB แบบ UFS 3.0 ทั้งหน่วยประมวลผล และหน่วยความจำถือว่าเร็วที่สุดในขณะนี้ รองรับการใช้งานทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงๆ การเล่นเกมกราฟฟิคหนักๆ รุ่นนี้รองรับได้สบายๆ และเชื่อว่าจะยังคงรองรับการใช้งานทั้งแอพฯ และเกมต่างๆ ได้ยาวๆ อีก 2 ปี

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพความแรงของหน่วยประมวลผลเราก็ยังคงใช้แอพฯ Antutu Benchmark ในการทดสอบ ซึ่งแอพฯ จะทดสอบทั้งความเร็วในการประมวลผลของ CPU และ GPU โดยผลรวมคะแนนทำออกมาได้สูงมากถึง 615619 คะแนน ซึ่งถือว่าทำคะแนนได้เป็นอันดับ 1 ในการจัดอันดับของแอพฯ ดังนั้นการใช้งานของ Find X2 รุ่นนี้ถือว่ารองรับการใช้งานหนักๆ ได้สบายๆ เลยทีเดียว

นอกจากนี้ชิพเซ็ตยังรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G ที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีเครือข่ายใหม่ล่าสุดในไทย และถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกๆ ที่สามารถใช้งาน 5G ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ดโดยไม่ต้องสลับ ซึ่งตอนนี้ก็มีเครือข่าย AIS 5G และ True 5G ที่ให้บริการเชิงพานิชย์เต็มรูปแบบ แต่ก็ยังคงมีเครือข่ายให้ใช้งานเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น สามารถตรวจสอบพื้นที่ที่สามารถใช้งานได้จากผู้ให้บริการ

SuperVOOC Flash Charge 2.0 ชาร์จเร็วสุดด้วยกำลังไฟ 65 วัตต์

ที่สุดของความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ของ OPPO ที่เป็นผู้นำในการพัฒนาการชาร์จมาตั้งแต่ VOOC Flash Charge รุ่นแรกๆ จนมาถึง SuperVOOC Flash Charge 2.0 ของรุ่นนี้ที่ให้กำลังไฟสูงถึง 65 วัตต์ ด้วยอแดปเตอร์ และสาย USB-C จาก OPPO หลักการทำงานจะแบ่งแบตเตอรี่ออกเป็น 2 ก้อนจากความจุ 4,200 mAh  แบ่งเป็น 2,100 mAh ทำให้ชาร์จได้เร็วขึ้น เครื่องไม่ร้อน อีกทั้งยังได้มาตรฐานจาก TÜV Rheinland ในด้านความปลอดภัยด้วย สำหรับระยะเวลาของ OPPO ที่โฆษณาไว้จากการชาร์จ 0% – 100% ทำได้เพียง 38 นาที หรือชาร์จเพียง 10 นาทีก็ชาร์จได้ถึง 40% ซึ่งจากการทดสอบชาร์จด้วยอุปกรณ์ในกล่องพบว่าชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วมาก ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีเท่านั้นเอง ถือว่ารวดเร็วมากๆ ซึ่งหากตื่นเช้าขึ้นมาลืมชาร์จแบตก็เพียงแค่เสียบสายชาร์จ อาบน้ำ แต่งตัว แบตเตอรี่ก็น่าจะเกือบเต็ม หรือเต็มเลยก็ได้ เหมาะกับคนที่ชอบลืมชาร์จแบต หรือคนใจร้อนมากทีเดียว

บทสรุป OPPO Find X2 จากความคิดเห็นของ What Phone

ถึงแม้ว่าในปีนี้จะไม่ได้มีอะไรที่ฉีกแนวไปจาก Find X ปีที่แล้วอย่างกล้องสไลด์ขึ้นลงได้ แต่สำหรับรุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนดีไซน์สวยที่อัดแน่นไปด้วยที่สุดของเทคโนโลยีในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผล 1 พันล้านสี 120 Hz กล้องถ่ายภาพที่ใช้เซ็นเซอร์ และเทคโนโลยีการถ่ายภาพ พร้อมระบบ AI ที่ชาญฉลาด ช่วยปรับแต่งภาพให้สวยงามตามวัตถุ และสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สำหรับการใช้งานนั้นก็ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนแถวหน้าที่ใช้เร็วที่สุดด้วยซีพียูแรงที่สุดในตอนนี้ รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดไม่กี่รุ่น แต่สำหรับใครที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ถ่ายภาพได้ดีกว่านี้ ซูมได้ไกลกว่านี้อาจจะมองเป็นรุ่น Find X2 Pro ไปเลยก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าอยากได้ความแรงในราคาที่ไม่แพงมาก รุ่นนี้ก็ถือว่าเหมาะสมกับราคาที่ต้องจ่ายไปแล้วล่ะครับ

สรุปสเป็ค OPPO FIND X2 5G

• รองรับเครือข่าย 4G, 5G Dual mode
• หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2K ความละเอียดสี 10 bits 1 พันล้านสี 120 เฮิร์ตซ์ รองรับ HDR10+ 
• ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแสดงผล
•  หน่วยประมวล Snapdragon 865 Flagship ชิพเซ็ต RAM 12GB, ROM 256GB
• 3 กล้องหลัง เลนส์ Wide 48 MP, เลนส์ Ultra Wide 120 องศา+Ultra Macro 12MP, เลนส์ Telescope 13MP, กล้องหน้า 32 MP
• กันน้ำและฝุ่นละอองมาตรฐาน IP68
• แบตเตอรี่ความจุ 4,200 mAh
• SuperVOOC 2.0 กำลังไฟ 65 วัตต์ ชาร์จเต็มใน 38 นาที
• ColorOS 7.1 บนระบบปฏิบัติการ Android 10
•  ราคา 33,990 บาท
• มีให้เลือกสี Ceramic Black, Ocean

ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า

ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง

ทดสอบการซูมภาพด้วยเลนส์ระยะต่างๆ

ซื้อ OPPO Find X2 5G คลิกที่นี่

• Facebook
• Twitter
• Line